วิธีการสร้างเว็บไซต์ (Website) ทำได้กี่รูปแบบบ้าง

   By: DH Team

   อัปเดตล่าสุด July 10, 2023

วิธีการสร้างเว็บไซต์ (Website) ทำได้กี่รูปแบบบ้าง

เว็บไซต์ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จำเป็นมากสำหรับธุรกิจ เพราะว่ามันเปรียบเสมือนบ้านของเราจริง ๆ ในโลกอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่ช่องทางแบบโซเชียลมีเดียที่วันดีคืนดีเจ้าของแพลตฟอร์มอาจจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เพจหรือช่องทางนั้นของเราปลิวไปได้ ในบทความนี้ผมจะมาแนะนำวิธีในการสร้างเว็บไซต์ ว่ามีกี่วิธี ทำได้อย่างไรบ้างทั้งแบบเขียนโค้ดสำหรับสาย coding จ๋า ๆ และแบบสาย low code ที่ไม่ต้องการเขียนโค้ด

ปล. ในบทความนี้เราไม่ได้มาสอนวิธีการทำเว็บ แต่เราจะมาแนะนำวิธีต่าง ๆ เพื่อเป็นไกด์ไลน์หรือแนวทางให้ครับ


Website คืออะไร ?

เว็บไซต์ (website) คือ หน้าเว็บเพจหลาย ๆ หน้าที่รวมกันเป็นหน้าเว็บโดยสามารถเข้าถึงได้แบบสาธารณะ จุดประสงค์หลักเพื่อนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร บริการ ฯลฯ ของบริษัท ห้างร้าน องค์กร หรือเจ้าของเว็บไซต์นั้น ๆ โดยเบื้องลึกเบื้องหลังของเว็บไซต์นั้นแน่นอนว่าต้องมีภาษาโปรแกรมมิ่งมาเกี่ยวข้องเพื่อรวมร่าง สร้างกันขึ้นมาเพื่อเป็นหน้าเว็บ โดยภาษาที่ว่าก็คือ HTML, CSS และ JavaScript


วิธีการสร้างเว็บไซต์

เมื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเว็บไซต์กันแล้ว ต่อมาก็จะเป็นการแนะนำวิธีการสร้างเว็บไซต์ โดยผมจะขอแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบดังต่อไปนี้คือ

  1. แบบเขียนโค้ด
  2. แบบไม่เขียนโค้ด (No code)


1. แบบเขียนโค้ด

นี่คือแบบแรก แบบนี้จะเหมาะกับสายโค้ดดิ้งหรือสายโปรแกรมเมอร์ โดยเราจะต้องเลือกภาษาหรือเทคโนโลยีที่จะใช้เขียนตามความถนัด และในโลกนี้ก็มีร้อยแปดพันเก้าเทคโนโลยี ในส่วนนี้ผมเลยจะขอยกมาบางภาษาและเฟรมเวิร์คที่เป็นที่นิยมครับทั้งในส่วนของ Back-end และ Front-end

บทความแนะนำ: Front-end vs Back-end

Back-end Web Framework

ชื่อ
ภาษา
Django
Python
Laravel
PHP
Ruby on Rails
Ruby
ASP.NET
C#
Spring Boot
Java
Express.js
Node.js (JavaScript)
Sympony
PHP

ขอแนะนำ: คอร์สเรียนสร้างเว็บไซต์ด้วยภาษา Python ด้วย Django เฟรมเวิร์ค แบบ private


Front-end Web Frameworks

เฟรมเวิร์ค
ภาษา
Angular
JavaScript
React
JavaScript
Vue
JavaScript
Svelte
JavaScript

Note: เฟรมเวิร์ค JavaScript ด้านบนเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักจะใช้ทำเว็บแบบ SPA (Single Page Application) จุดเด่นก็คือทำให้หน้าเว็บมีปฎิสัมพันธ์กับผู้ใช้เป็นอย่างดี สร้างประสบการณ์ใช้งาน (UX: User Experience) ต่อผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี แต่จุดด้อยคือ ไม่ค่อยเป็นมิตรสำหรับการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งก็อาจจะต้องมีไลบรารีอื่น ๆ ของเฟรมเวิร์คนั้นมาเสริม เช่น React ก็จะเป็น Next.js ส่วน Vue ก็จะเป็น Nuxt.js เป็นต้น


CSS (Cascading Style Sheet) Frameworks

CSS เป็นภาษาที่เอาไว้ใช้สำหรับตกแต่งหน้าตาของเว็บให้สวยงาม ดังนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งภาษาที่ต้องรู้สำหรับนักพัฒนาเว็บ ยิ่งถ้าเป็นฝั่ง Front-end Dev นี่ยิ่งต้องรู้พอสมควร

เฟรมเวิร์ค
ลักษณะการใช้งาน
Bootstrap
ง่ายต่อการใช้งาน เป็นที่นิยมสูงสุด
Tailwind
ยากกว่า Bootstrap ขึ้นมานิดหนึ่ง แต่สามารถปรับแต่ (Customize) ได้ดีกว่ามาก
Bulma
ง่ายต่อการใช้งานและขนาดไฟล์เล็กกว่า Bootstrap

แต่พื้นฐานที่สุดเลย ก็คือ ภาษา HTML ทุกคนต้องรู้ครับ ถ้าจะมาสาย Web Dev (ซึ่งมันก็เรียนรู้และเป็นภาษาที่ง่ายที่สุดแล้ว) ดังนั้นจึงถือว่าเป็นภาษาที่ทุกคนที่ทำเว็บต้องรู้ ละไว้ในทางที่รู้กันครับ


2. แบบไม่เขียนโค้ด (No code)

แบบนี้จะเหมาะกับคนที่ไม่อยากลงมือเขียนโค้ด โดยเราจะต้องใช้เทคโนโลยีจำพวก CMS และ Website Builders ต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยม สะดวก รวดเร็ว ใช้งานง่ายก็มีอยู่มากมายหลายตัวในตลาดตอนนี้ครับ


WordPress ซึ่งถือเป็น CMS ที่นิยมที่สุด


CMS (Content Management System)

ชื่อ CMS
ลักษณะการใช้งาน
WordPress
สำหรับทำเว็บไซต์บริษัท เว็บบล็อก หรือทำได้แทบทุกรูปแบบ (นิยมที่สุด)
Woo-commerce
สำหรับทำเว็บอีคอมเมิร์ชโดยเฉพาะ
Joomla
เป็น CMS ที่อาจจะต้องใช้เวลาเรียนรู้นานกว่า WordPress



Website Builders

ชื่อ
ลักษณะการใช้งาน
ค่าใช้จ่าย
Wix
ใช้งานง่าย มีเทมเพลตให้เลือกใช้งานเยอะมากFree Plan & Premium Plan
Weebly
ใช้งานง่าย เพียงแค่ลากและวางFree Plan & Premium Plan
Squarespace
ใช้งานง่าย เพียงแค่ลากและวางPremium Plan
Shopify
สำหรับทำเว็บอีคอมเมิร์ชขายสินค้าโดยเฉพาะPremium Plan
Google Site
ใช้งานง่าย แต่มีเทมเพลตให้เลือกไม่มากFree


Wix แพลตฟอร์มสำหรับสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบลากและวาง (Drag & Drop) ยอดนิยมอีกตัวในปัจจุบัน


ยังมีอีกแบบหนึ่งที่ง่ายที่สุดเลยคือ
ใช้...
...
...
เพื่อนทำให้
lol ขำ ๆ นะครับ

ก็จบลงไปแล้วครับสำหรับคำแนะนำ วิธีในการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเขียนโค้ดและแบบไม่เขียนโค้ด (No Code) ทางทีมงาน DH เราก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์นะครับ อย่าลืมติดตามเพจ devhub ด้วยนะครับ


เปิดโลกการเขียนโปรแกรมและ Software Development ด้วย online courses ที่จะพาคุณอัพสกิลและพัฒนาสู่การเป็นมืออาชีพ เรียนออนไลน์ เรียนจากที่ไหนก็ได้ พร้อมซัพพอร์ตหลังเรียน

เรียนเขียนโปรแกรม